พบศพครูหนิง ถูกถ่วงน้ำ คนร้ายคือแฟนทหาร

         พบศพครูหนิง ถูกถ่วงน้ำ  ในโลกออนไลน์ได้มีการประกาศตามหาครูสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่าครูหนิง  เนื่องจากว่าญาติพี่น้องไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่ ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มของวันที่ 26 เดือนพฤษภาคม ปีพ.ศ. 2565  ซึ่งในวันที่หายตัวไปนั้นครูหนิงหายไปพร้อมกับรถโตโยต้าสีบรอนซ์เทา  อย่างไรก็ตามหลังจากที่ญาติพี่น้องประกาศตามหาครูหนิง ผ่านทางออนไลน์ และสื่อโซเชียลต่างๆ แต่ก็ปรากฏว่าไม่มีใครพบเบาะแสใดใดทั้งสิ้น 

           สำหรับทางฝั่งญาติพี่น้องของครูหนิงเองนอกจากจะมีการประกาศตามหาผ่านทาง Social แล้วก็ได้มีการแจ้งความติดตามคนหายไว้ที่สถานีตำรวจซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามติดตามหาตัวครูหนิงซึ่งคาดว่าครูหนิงน่าจะมีการถูกลักพาตัวไปดังนั้นจึงได้มีการเชิญคนที่ใกล้ชิดกับครูหนิงมาสอบปากคำทุกคน

            ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวคนร้ายที่พาตัวครูหนิง ไปได้แล้วซึ่งก็คือแฟนหนุ่มของคุณหนิงนั่นเองโดยชายคนดังกล่าวนั้นคือ  จ.ส.อ.  สุรินทร์  ได้ทำการรับสารภาพแล้วว่าเป็นคนพาครูหนิง ไปและทะเลาะกับครูหนิงจนมีการทำร้ายร่างกายกันสุดท้ายเกิดบันดาลโทสะใช้มือบีบคอจนครูหนิงเสียชีวิต

            จากการคำให้การของ  จ.ส.อ.  สุรินทร์  ระบุว่าหลังจากฆ่าแฟนสาวแล้วได้นำรถยนต์ของแฟนสาวไปจำนำไว้ที่ร้านแห่งหนึ่ง ที่อำเภอท่ายาง ส่วนการก่อเหตุฆ่าแฟนสาวในครั้งนี้เพราะอารมณ์หึงหวง 

         อย่างไรก็ตามหลังจากที่คุณหญิงเสียชีวิตแล้ว คนร้ายได้ใช้มีดกรีดไปตามร่างกายแล้ว    ufabet เว็บหลัก    นำร่างของครูหนิงผูกติดกับก้อนอิฐรวมถึงเหล็กแล้วนำไปถ่วงทิ้งไว้บ่อน้ำ  ซึ่งบ่ดังกล่าวนั้นเป็นบ่อน้ำภายในสวนกล้วยของคนร้ายเอง    ภายหลังจากที่คนร้ายให้การรับสารภาพและพาไปยังจุดที่มีการทิ้งศพครูหนิงไว้เจ้าหน้าที่ก็ลงไปงมศพครูหนิง ภายในบ่อน้ำทันทีโดยช่วงเวลาประมาณ 22:30 น เจ้าหน้าที่ก็พบศพของครูหนิงและนำร่างขึ้นมาจากบ่อน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

         เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานงานญาติพี่น้องของครูหนิงให้รับทราบและนำร่างของครูหนิงไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำการชันสูตรศพก่อนที่จะปล่อยให้ญาตินำร่างของครูหนิงไปทำพิธีทางศาสนาต่อไปส่วนทางด้าน   จ.ส.อ.  สุรินทร์  ซึ่งเป็นคนร้ายในคดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการแจ้งข้อหาและนำตัวไปดำเนินคดีรับผิดตามกฎหมายต่อไป 

         ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีคนที่ต้องตายเพราะสาเหตุมาจากการหึงหวง และเขม่นกัน ไม่พอใจกันทุกวันเลยก็ว่าได้ และสิ่งต่างๆเหล่านี้กำลังแสดงให้เห็นว่าคนไทยมีปัญหาด้านสุขภาพจิตมากขึ้น อารมณ์ร้อนกันเยอะขึ้นนั่นเอง

หนุ่มหอบร่างโชกเลือดขึ้นโรงพักแจ้งความหลังถูกเพื่อนสมัยมัธยมเคาะห้องแล้วแทง 

       หนุ่มหอบร่างโชกเลือดขึ้นโรงพัก เมื่อวันที่ 30 เดือนมกราคม ปีพ.ศ. 2565 ช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง  ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สนสำเหร่ปรากฏว่าได้มีชายอายุประมาณ 20 ปีเดินขึ้นมาบนโรงพักด้วยสภาพร่างกายโชกเลือดเต็มไปหมดและมีมือกุมบาดแผลที่บริเวณหน้าท้องเอาไว้

หลังจากนั้นก็ขอแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ว่าถูกเพื่อนเก่าของตนเองซึ่งเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมบุกเข้ามาทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธมีดแทงบริเวณที่หน้าท้องจนได้รับบาดเจ็บเมื่อเพื่อนแทงเสร็จแล้วก็วิ่งหนีหายไป

        สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้บาดเจ็บระบุว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นเป็นแฟลตตำรวจที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจของสนสำเหร่พักอาศัยอยู่ส่วนห้องที่เกิดเหตุนั้นก็เป็นห้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจรอยศร้อยตำรวจเอกท่านหนึ่งเนื่องจากว่าผู้บาดเจ็บได้เดินทางมาหาแฟนสาวซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาศัยอยู่ในแฟลตดังกล่าว  โดยระหว่างที่ทั้งคู่กำลังอยู่ภายในห้องด้วยกันนั้น  ปรากฏว่ามีคนมาเคาะห้องเมื่อผู้บาดเจ็บเดินไปเปิดประตูอยู่ๆก็มีหมัดพุ่งเข้ามาชกที่บริเวณใบหน้า เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นเพื่อนสมัยมัธยมซึ่งรู้จักกันเป็นอย่างดี

       หลังจากชกเสร็จเรียบร้อยผู้ก่อเหตุก็ใช้อาวุธมีดที่พกมาแทงบริเวณที่ท้องเมื่อแทงเสร็จแล้วก็วิ่งหนีออกจากแฟลตตำรวจไปทันทีซึ่งทางผู้บาดเจ็บยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าตัวเขาและคนก่อเรื่องนั้นไม่เคยมีเรื่องบาดหมางหรือทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อนซึ่งตัวเขาเองนั้นยังรู้สึก งง เป็นอย่างมากเลยทีเดียวที่เพื่อนมาเคาะประตูห้องหลังจากนั้นก็มาชก  เนื่องจากเห็นว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ใกล้กับ สน. จึงรีบมาแจ้งความก่อนที่จะไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล 

        สำหรับผู้ก่อเหตุนั้นผู้บาดเจ็บ ระบุว่าชื่อนายปรมินทร์   ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเรื่องไว้เรียบร้อยแล้วกำลังเร่งติดตามตัวนายประเมินเพื่อทำการสอบปากคำเพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าการก่อเหตุใช้อาวุธมีดแทงกันในครั้งนี้น่าจะต้องมีเรื่องราวอะไรกันมาก่อนอย่างแน่นอนเพียงแต่ว่าผู้บาดเจ็บอาจจะยังไม่ยอมเปิดเผยความจริงดังนั้นถ้าหากได้ตัวผู้กระทำความผิดมาเรื่องราวน่าจะคลี่คลายได้

     อย่างไรก็ตามเมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบปากคำแฟนสาวของผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าหน้าที่ตำรวจยศร้อยตำรวจเอกนั้นเธอยืนยันว่าเธอไม่ได้รู้เรื่องว่าแฟนหนุ่มของเธอกับผู้ก่อเหตุนั้นมีเรื่องทะเลาะวิวาทอะไรกันแต่เคยเห็นว่าทางผู้ก่อเหตุเคยนำกระดาษที่เขียนของครูเอาไว้ว่าจะทำร้ายร่างกายแฟนหนุ่มของเธอมาติดไว้ที่บริเวณรถของแฟนหนุ่มของเธอ

       อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าห้องที่เกิดเหตุนั้นจะเป็นแฟลตตำรวจและเป็นห้องพักของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ในช่วงเกิดเหตุนั้นเจ้าของห้องซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้อยู่ในห้องหลังจากที่ตรวจสอบสภาพห้องเรียบร้อยแล้วไม่พบร่องรอยทรัพย์สินสูญหายแต่อย่างใดจึงไม่ได้มีการดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องของทรัพย์สินสูญหายหรือทรัพย์สินถูกทำลายเพียงแค่ต้องติดตามหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีต่อไปนั่นเอง 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย     UFABET เว็บหลัก

วัดเลขธรรมกิตติ์  จังหวัดนครนายก

          วัดเลขธรรมกิตติ์  ที่อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก มีวัดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มีอายุเกือบ 200 ปีแล้วด้วยวัดแห่งนี้มีเอกลักษณ์พิเศษตรงที่ว่าบริเวณตรงซุ้มประตูทางเข้าของวัดนั้นจะมีกำแพงซึ่งเป็นทราบราคาพังเหลือไว้บางส่วนโดยเหลือตรงส่วนที่เป็นประตูทางเข้า

ซึ่งตรงนี้จะมีรากของต้นโพธิ์ต้นใหญ่พันเกลียววัดกำแพงเอาไว้เป็นการป้องกันไม่ให้กำแพงล้มซึ่งตรงจุดนี้เองที่เป็นตัวดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมความงดงามของสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยวัดแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าวัดเลขธรรมกิตติ์ 

         ชาวบ้านบอกว่าแต่เดิมวัดแห่งนี้ไม่ใช่ชื่อวัดเลขธรรมกิตติ์เพิ่งมามีการเปลี่ยนเป็นชื่อ วัดเลขธรรมกิตติ์  เมื่อปีพศ 2490 โดยพระครูศรัทธาภินันท์เป็นผู้ดำเนินการเปลี่ยนเพราะแต่เดิมนั้นวัดแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าวัดบางอ้อนอก  แต่ที่พระครูศรัทธาภินันท์มีการเปลี่ยนมาเป็นวัดเลขธรรมกิตติ์นั่นก็เพราะว่าวัดแห่งนี้นั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ท่าน

เคยเสด็จมาพร้อมกับพระโอรสของพระองค์โดยทั้งสองพระองค์นั้นได้มีการเสด็จลงเรือและได้มีการขึ้นมาแวะพักเพื่อเสวยพระกระยาหารและพักผ่อนที่วัดแห่งนี้ดังนั้นท่านพระครูศรัทธาภินันท์จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดแห่งนี้ใหม่เพื่อเป็นเกียรติแก่ตัววัดที่ครั้งหนึ่งเคยได้ต้อนรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระโอรสนั่นเอง

       สำหรับชื่อวัดเลขธรรมกิตติ์นั้นมีความหมายซึ่งแปลตรงตัวว่าวัดที่มีเกียรติดังนั้นจึงเหมาะกับวัดที่ได้มีโอกาสต้อนรับรัชกาลที่ 5 กับพระโอรสของพระองค์โดยวัดแห่งนี้นอกจากจะเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาในช่วงปลายของกรุงศรีอยุธยาแล้วภายในพื้นที่บริเวณวัดยังมีความสวยงามและเงียบสงบร่มเย็นอีกด้วย

  นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมชมความสวยงามและความเก่าแก่ของวัดเลขธรรมกิจแห่งนี้นั้นมักจะมาถ่ายรูปตรงบริเวณซุ้มประตูโบราณแห่งนี้เพราะมีความสวยงามและดูอัศจรรย์ตรงที่มีรากของต้นไทรพันเกี่ยวเอาไว้และยังมีบานประตู 2 บานที่เปิดเอาไว้เป็นมุมสำหรับถ่ายรูปสวยๆเก๋ๆอีกด้วย

           นอกจากนี้ภายในวัดยังมีศาลาขนาดเล็กรวมถึงโบสถ์ซึ่งได้มีการนำพระพุทธรูปมาประดิษฐ์ฐานเอาไว้เพื่อให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้ขอพรอะไรก็ตามสำหรับวัดเลขธรรมกิตติ์นั้นไม่ใช่วัดขนาดใหญ่มากนักดังนั้นจึงใช้ระยะเวลาไม่นานในการที่จะเดินถ่ายรูปตามมุมต่างๆภายในวัดและกราบไหว้พระพุทธรูปเพื่อขอพรดังนั้นเราสามารถแวะเที่ยวที่วัดเลขธรรมกิตติ์แห่งนี้และสามารถไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงกับวัดนี้ได้ 

       หากนักท่องเที่ยวชอบธรรมชาติและสถาปัตยกรรมจากธรรมชาติ แนะนำมาเที่ยวที่วัดแห่งนี้กันค่ะ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    UFABET เว็บหลัก

พาเที่ยวทะเลสาบมรกตที่ ประเทศบราซิล

             ทะเลทราย สถานที่ที่แห้งแล้งที่สุด สถานที่ที่มีเพียงแค่ต้นกระบองเพชรที่โตได้ เหตุผลที่ทะเลทรายมีเพียงแค่ต้นกระบองเพชรก็เพราะทะเลทรายมีน้ำจำนวนที่น้อยมากมากจนไม่สามารถมีตัวอะไรใช้ชีวิตอยู่ได้ แต่ที่แปลกมากคือที่ประเทศบราซิลนั้นกลับมีทะเลทราบเกิดขึ้นที่ทะเลทรายสีขาว 

               หลังจากที่มีข่าวออกไปว่ามีทะเลทราบกลางทะเลทรายนั้นประเทศบราซิลก็กลายเป็นจุดสนใจของทั่วโลกทันทีหลังจากนั้นจากทะเลทรายที่แสนจะเงียบสงบก็มีคนมาท่องเทียวกันเต็มไปหมดหลังจากที่มีการค้นพบที่นี้นั้นส่วนหนึ่งของทะเลทรายก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานบราซิลเรากลับมาพูดถึงเรื่องทะเลทราบกันต่อดีกว่าค่ะ น้ำที่ทะเลทราบเรียกได้ว่าใสมากมากเลยทีเดียว น้ำที่นี้นั้นจะเป็นสีออกฟ้ามรกตดูแล้วน่าเล่นมาก

               โดยนอกจากน้ำที่นี้จะเย็นสบายมากแล้ววิวรอบข้างระหว่างเล่นน้ำก็สวยอีกด้วย อากาศร้อนๆของทะเลทราย+กับน้ำเย็นที่ทะเลทราบแถมยังวิวทรายสีขาวอีก อะไรจะสวรรค์ขนาดนี้!! โดยทรายสีขาวที่นี้นั้นถ้ามองแบบเผลอๆแล้วก็แลดูเหมือนกับหิมะเลยก็ว่าได้ สำหรับใครที่อยากไปช่วงที่อากาศเย็นๆน้ำใสๆนั้นก็ต้องเลือกไปช่วงฤดูฝนหรือเดือน กรกฎาคมหรือกันยายน ช่วงเวลาที่พูดไปนี้จะเป็นช่วงเวลาที่น้ำจะใสมากที่สุด ใสอย่างกับเพชรเลยค่ะ! 

            ที่นี้นั้นถือเป็นสถานที่ติดอันดับ 10 สถานที่น่าเที่ยวในบราซิลเลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศบราซิลแล้วล่ะก็จะต้องลองไปเที่ยวที่นี้ให้ได้เลยนะคะ ไม่งั้นจะถือว่าพลาดอย่าแรงเลยทีเดียว โดยบางทีคนอาจจะเยอะหน่อยดังนั้นหากใครที่อยากมาตอนคนน้อยๆก็ต้องรีบไปตอนอุทยานพึ่งเปิดให้เข้าไม่นานเพราะช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงที่คนน้อยที่สุดนั้นเอง หากใครที่ไม่อยากเล่นน้ำที่นี้ก็มีอย่างอื่นให้เล่นอีกและอย่างอื่นที่เราพูดถึงนั้นก็คือการเล่น Sand board 

            โดยการเล่นนี้จะเป็นการน้ำ Sand boardมาวางไว้ตรงจุดสูงสุดแล้วไถลลงมาตามทางเป็นอีกหนึ่งเกมที่นิยมเล่นมากจากนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี้ มีวิธีในการเดินทางมาที่นี้นั้นก็คือเราต้องเช่ารถเพื่อนที่จะได้เดินทางไปยังอุทยานได้ โดยรถนี้นั้นจะมีรอบขับไปส่งแค่รอบเดียวต่อวันเท่านั้นโดยจะเปิดรับตอนช่วง สิบโมงจนถึงบ่ายสาม โดยค่าเช่ารถจะต้องจ่าย 60 BRL แปลงเป็นเงินไทยก็จะประมาณ 344.29 บาทค่ะ   สำหรับใครที่สนใจก็ต้องลองไปเที่ยวกันดูนะคะ

 

 

สนับสนุนโดย    ufabet เว็บหลัก