The Atlantic Ocean Roadหรือถนนสายเเอตเเลนติก

ที่ประเทศ นอร์เวย์ มีสะพานขึ้นชื่อเเห่งหนึ่งที่มีความสวยงามจนเหมือนงานศิลปะชิ้นนึงเลยที่เดียว สะพานเเห่งนี้มีชื่อว่า The Atlantic Ocean Road ซึ้งมีความยาว 8.3 กิโลเมตรที่ประกอบไปด้วยสะพานถึง 8 สะพาน เเละจุดชมวิลอีก 4จุดด้วยกัน

สะพาน The Atlantic Ocean Road เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างเเผ่นดินใหญ่สองฝั่งของมหาสมุทรเข้าด้วยกันจุดที่เป็นปลายทางของทั้งสองด้านคือ เมือง Eide กับกับเกาะ Averoy เข้าด้วยกัน เเละในระหว่างทางจะผ่านเกาะเล็กถึง17 เกาะด้วยกัน มีจุดชมวิวสวยๆถึงเเปดเเห่ง เเต่ที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด คือจุดชมวิล Storseisundet Bridge

ในเส้นทางที่เชื่อมต่อกันจะได้เห็นความงดงามทางธรรมชาติทั้งภูเขา มหาสมุทรเเอตเเรนติค  เเต่ในความสวยงามก็เเฝงด้วยอันตรายจากเส้นทางคดเคี้ยวเเเละสะพานที่มีส่วนโค้งสูงเเละบิดไปมาเหมือนกับว่าจงใจสร้างเพื่อหลบคลื่นที่ซัดขึ้นมา  ข้อควรระวังเมื่อมาที่ถนนสายนี้เวลาที่มีคลื่นซัดจนน้ำทะเลกระจายขึ้นมาถึงบนสะพานอาจมีน้ำขังอยู่บนถนนทำให้ถนนลื่นทำให้ผู้ขับขี่จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เเละในช่วงฤดูใบไม่ร่วงถ้าหากเลือกที่จะใช้ถนนเส้นนี้มีโอกาสที่จะเจอกับพายุที่รุนเเรงจนบางครั้งเกิดเป็นพายุเฮอร์ริเคนเลยก็มี

The Atlantic Ocean Road ได้รับการยกย่องให้เป็น norwegian structure of the country เเปลเป็นไทยก็คือ เหมือน โครงสร้างของประเทศนอร์เวย์ เเละเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดในโลก เเละถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เส้นทางท่องเที่ยวแห่งชาติอีกด้วย

เเผนการสร้างเเต่เดิมถูกเสนอให้เป็นเส้นทางรถไฟในต้นศตวรรษที่ 20 แต่เเผนการสร้างทางรถไฟก็ได้ถูกล้มเลือกไม่โดยไม่ทราบสาเหตุ เเละได้มีการวางแผนใหม่อย่างจริงจังในการสร้างเป็นสะพานขึ้นในปี 1970 การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1983 ในระหว่างการก่อสร้างต้องพบกับ อุปสรรคในการทํางานเพราะพื้นที่ก่อสร้างถูกพายุถล่มถึง 12 ครั้งด้วยกันโดยใช้ระยะเวลาในการสร้าถึง 6 ปีด้วยกัน  สะพานได้เปิดให้ใช้ได้เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2532 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายงบประมาณในการสร้างถึง 122 ล้านโครนนอร์เวย์ หรือ 412,376,103.บาทเลยที่เดียว 

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  Holiday Palace

เหตุผลที่ต้องไปเที่ยวญี่ปุ่น

แน่นอนว่าในการเที่ยวของแต่ละคนนั้นย่อมมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป สถานที่ที่เลือกไปล้วนมีเหตุผลที่อยากไปทั้งสิ้น และอีกประเทศที่เชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะมีเหตุผลที่ต่างกันออกไปที่อยากจะลองสัมผัสประเทศนี้ดูสักครั้งนั่นก็คือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง และหากใครที่ยังไม่รู้ถึงเหตุผลของตัวเองว่าเราจะไปญี่ปุ่นทำไมลองมาดูเหตุผลที่เราควรไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งกัน

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องศิลปวัฒนธรรมและความเป็นอยู่อย่างมาก ดังนั้นเหตุผลที่ควรจะมาเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งก็คงไม่พ้นเหตุผลที่ว่า มาศึกษาและชื่นชมความสวยงามทั้งวัฒนธรรม ศิลปะความเป็นอยู่ของญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งทั้งวัฒนธรรม ศิลปะผู้คนความเป็นอยู่ของญี่ปุ่นนั้นมีเสน่ห์น่าหลงไหลมากๆ และคนที่ได้มาเยือนญี่ปุ่นล้วนแต่ติดใจกับสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีการอนุรักษ์และรักษาความเป็นออริจินอลของคนญี่ปุ่นไว้ เช่น วัดต่างๆ ในญี่ปุ่นก็จะมีลักษณะที่เป็นแบบญี่ปุ่นสมัยก่อนนั่นเองซึ่งมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่นมากๆเลย และยังมีการนำวัฒนธรรมกับศิลปะมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวด้วย ผู้คนและความเป็นอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ผู้คนญี่ปุ่นจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีน้ำใจและน่ารักมากๆเป็นกันเองแบบสุดๆและหากเราขอความช่วยเหลือจากคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นนั้นจะพยายามช่วยเราอย่างเต็มที่เลยทีเดียวความเป็นอยู่นั้นก็มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและบ้านเมืองเค้าก็สะอาดมากๆด้วย

สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามมาก และมีหลากหลายที่ที่ควรต้องไปเยือนสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังๆอย่าง ภูเขาไฟฟูจิ จัดว่าเป็นสถานที่ในลำดับต้นๆที่เป็นเหตุผลทำให้คนไปเยือนประเทศญี่ปุ่นก็ว่าได้เลยทีเดียว เพราะเป็นสิ่งแปลกใหม่และไม่สามารถหาดูที่ไหนได้นั่นเองและความตื่นเต้นในการไปดูภูเขาไฟฟูจินั้นก็คือการลุ้นว่าเราจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิไหมนั่นเอง เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามในทุกวัน เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย หากวันไหนมีหมอกหรือเมฆมากก็อาจจบังภูเขาไฟฟุจิจนมองไม่เห็นเลยก็มี และตามความเชื่อบอกว่าหากใครได้มาเยือนแล้วเห็นภูเขาไฟฟูจินั้นจะทำให้ได้มาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้งนั่นเอง

และเหตุผลที่ควรมาเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งคงหนีไม่พ้นเรื่องอาหารด้วย เพราะอาหารญี่ปุ่นนั้นก็มีหลากหลายเมนูที่ขึ้นชื่อถึงแม้จะมีการแพร่หลายของร้านอาหารญี่ปุ่นแต่การไปกินที่ประเทศต้นตำหรับของอาหารนั้นก็คือจะที่สุดแล้วเพราะจะได้ทานอาหารที่มีความออริจินอลจากฝีมือคนญี่ปุ่นแท้ๆและได้สัมผัสบรรยากาศกับร้านที่นั่งทานด้วย